บทความ
บทความ > มาดู! ข้อแตกต่างระหว่าง “Galvanized steel” และ “เหล็กเคลือบซิงค์”
กลับไปหน้ารายการบทความ

มาดู! ข้อแตกต่างระหว่าง “Galvanized steel” และ “เหล็กเคลือบซิงค์”

                  Galvanized Steel ได้กลายเป็นวัสดุสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ในบ้านและสำนักงาน ไปจนถึงชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจาก Galvanized Steel มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันสนิมและทนต่อสภาพแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสับสนกับชื่อเรียกที่คล้ายกัน เช่น เหล็กชุบซิงค์ หรือเหล็กชุบสังกะสี ทำให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้ว แต่ละอย่างมันมีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะไขข้อข้องใจ เราจะพาทุกท่านไปดูข้อแตกต่างระหว่าง Galvanized Steel และเหล็กชุบซิงค์ เพื่อจะเป็นข้อมูลที่ชัดเจนไม่ให้หลายๆท่านเข้าใจผิดอีก ไปดูกันเลย!

 

ก่อนอื่นมารู้จัก Galvanized Steel 

 

                  ก่อนอื่นมารู้จัก Galvanized Steel หรือเหล็กชุบสังกะสีกันก่อน Galvanized Steel คือเหล็กที่ผ่านกระบวนการเคลือบผิวด้วยสังกะสี เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อน ทำให้เหล็กมีความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น นั่นจึงไม่แปลกใจเลยที่ Galvanized Steel ได้กลายเป็นวัสดุสำคัญในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงชิ้นส่วนยานยนต์

 

คุณสมบัติของ Galvanized Steel  

- ป้องกันสนิม : การเคลือบสังกะสีช่วยป้องกันการเกิดสนิม ทำให้เหล็กมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น

- ทนทานต่อสภาพแวดล้อม : สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดี เช่น ความชื้นและสารเคมี

- ความสวยงาม : ชั้นเคลือบสังกะสีทำให้เหล็กมีผิวที่เรียบเนียนและดูดี

 

เหล็ก Galvanized Steel มีรูปลักษณ์อย่างไร  

                  เหล็กชุบสังกะสีมีสีที่สามารถเป็นสีเข้ม สีเทา หรือสีเทาอ่อน หลังจากที่เหล็กถูกชุบสังกะสีแล้ว จะมีลวดลายปรากฏบนพื้นผิวที่เรียกว่า “ลาย Spangle Pattern” ซึ่งทำให้เหล็กมีลักษณะเป็นจุดๆ คล้ายกับการผสมของโลหะสีต่างๆ คล้ายกับพื้นผิวของหินอ่อน ลวดลายนี้จะมีจุดที่เข้มและอ่อนสลับกัน ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากเหล็กที่ไม่ได้ชุบสังกะสีซึ่งมักจะมีสีสม่ำเสมอไปทั้งแผ่น

 

ความแตกต่างระหว่าง Galvanized Steel กับเหล็กธรรมดา  

                  ความแตกต่างหลักระหว่างเหล็กชุบสังกะสีกับเหล็กธรรมดาคือชั้นป้องกันที่เกิดจากการเคลือบสังกะสีบนพื้นผิวของเหล็กชุบสังกะสี สังกะสีนี้ทำให้เหล็กชุบสังกะสีมีความทนทาน แข็งแรง และทนต่อการเกิดสนิมมากขึ้น ในขณะที่เหล็กธรรมดาส่วนใหญ่ประกอบด้วยเหล็กซึ่งจะเกิดการกัดกร่อนเมื่อสัมผัสกับความชื้น

 

ทำไมถึงใช้เหล็ก Galvanized Steel ?  

เหล็กชุบสังกะสีถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรมเนื่องจากมีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับเหล็กรูปแบบอื่นๆ

 

1. ความคุ้มค่า : เหล็กชุบสังกะสีมีความคุ้มค่ามากกว่าเหล็กที่ไม่ได้ชุบสังกะสีในระยะยาว เนื่องจากมีความทนทานและทนต่อการกัดกร่อน ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

 

2. ความทนทานต่อการกัดกร่อน : ด้วยการเคลือบสังกะสี เหล็กชุบสังกะสีมีความทนทานต่อการกัดกร่อนมากกว่าเหล็กรูปแบบอื่นๆ

 

3. การใช้งานที่หลากหลาย : เหล็กชุบสังกะสีถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง เช่น ท่อ เป็นต้น

 

กระบวนการผลิต Galvanized Steel 

                  กระบวนการเคลือบผิวเหล็กด้วยสังกะสีนั้นไม่ได้มีวิธีเดียว วิธีที่เป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 2 วิธีหลักๆ ได้แก่ การเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า (Electrogalvanizing) และการชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (Hot-dip Galvanizing) 

 

การชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanizing)  

                         การชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อนเป็นกระบวนการที่นำเหล็กไปจุ่มในอ่างสังกะสีหลอมเหลวที่อุณหภูมิประมาณ 450 องศาเซลเซียส กระบวนการนี้ทำให้เกิดชั้นสังกะสีเคลือบผิวเหล็กอย่างทั่วถึงและหนาแน่น ซึ่งช่วยป้องกันการกัดกร่อนได้ดีเยี่ยม ชั้นสังกะสีที่ได้จากการชุบแบบจุ่มร้อนมีความทนทานสูง สามารถป้องกันการกัดกร่อนจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดี เช่น ความชื้นและสารเคมี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมก่อสร้างและยานยนต์

                         - กระบวนการ : นำเหล็กไปจุ่มในอ่างสังกะสีหลอมเหลว

                         - คุณสมบัติ : ได้ชั้นเคลือบที่หนาและทนทาน

                         - การใช้งาน : เหมาะสำหรับวัตถุขนาดใหญ่หรือที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น โครงสร้างเหล็กในงานก่อสร้างและชิ้นส่วนยานยนต์

 

การชุบสังกะสีด้วยไฟฟ้า (Electro-Galvanizing)  

                        การชุบสังกะสีด้วยไฟฟ้าเป็นกระบวนการที่ใช้กระแสไฟฟ้าในการเคลือบสังกะสีบนผิวเหล็ก กระบวนการนี้ทำให้ได้ชั้นสังกะสีที่บางกว่าแบบจุ่มร้อน แต่มีความเรียบเนียนและสม่ำเสมอ ชั้นสังกะสีที่ได้จากการชุบด้วยไฟฟ้ามีความสวยงามและเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความละเอียดและความสวยงาม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

                       - กระบวนการ : ใช้กระแสไฟฟ้าในการเคลือบสังกะสีลงบนพื้นผิวเหล็ก

                       - คุณสมบัติ : ได้ชั้นเคลือบที่บางและเรียบเนียน

                       - การใช้งาน : เหมาะสำหรับวัตถุขนาดเล็กหรือที่ต้องการความสวยงาม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือในอุตสาหกรรมใดๆ ที่ต้องการนำ Galvanized Steel คุณภาพดีๆ ผิวละเอียด แต่ยังมีคุณสมบัติดีครบถ้วนเหมือนเดิม 



 

คุณสมบัติของเหล็ก Galvanized Steel 
 

ป้องกันสนิมได้ดี  

                      Galvanized Steel มีคุณสมบัติเด่นในการป้องกันสนิม เนื่องจากมีชั้นป้องกันสังกะสีออกไซด์ที่ช่วยป้องกันจากสภาพแวดล้อมภายนอก ชั้นป้องกันนี้มีประสิทธิภาพสูงในการต่อสู้กับการเกิดสนิมและความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสนิม แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมดก็ตาม ในระยะยาว (ประมาณ 50 ปีหรือมากกว่าในสภาพแวดล้อมที่ไม่รุนแรง) เหล็กชุบสังกะสีก็จะเกิดสนิมในที่สุด อย่างไรก็ตาม เหล็กชุบสังกะสีมีความทนทานมากกว่าเหล็กรูปแบบปกติอย่างมาก

 

ความทนทานต่อการกัดกร่อน 

                    นอกจากการป้องกันสนิมแล้ว Galvanized Steel ยังมีความทนทานต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีและสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น น้ำทะเลและสารเคมีในอุตสาหกรรม การเคลือบสังกะสีช่วยให้เหล็กสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

 

ความแข็งแรงและความทนทานต่อสภาพอากาศ  

                   Galvanized Steel มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นความร้อน ความเย็น หรือความชื้น ชั้นสังกะสีที่เคลือบอยู่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเหล็ก ทำให้สามารถใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ

 

Galvanized Steel ยังคงมีคุณสมบัติแม่เหล็ก  

                   Galvanized Steel มีคุณสมบัติแม่เหล็ก เนื่องจากเหล็กมีคุณสมบัติแม่เหล็กในสภาพปกติ และกระบวนการชุบสังกะสีไม่ได้ส่งผลต่อคุณสมบัติแม่เหล็กนี้ แม้ว่าจะมีชั้นสังกะสีบางๆ เคลือบอยู่บนเหล็กในระหว่างกระบวนการชุบสังกะสี แต่ชั้นนี้ไม่หนาพอที่จะรบกวนคุณสมบัติแม่เหล็กของเหล็กที่อยู่ข้างใต้

 

ข้อดีของเหล็ก Galvanized Steel 

เหล็กชุบสังกะสีมีข้อดีหลายประการเนื่องจากชั้นสังกะสีที่เพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันจากสภาพแวดล้อมต่างๆ

1. ความทนทานต่อการเกิดสนิม : สังกะสีทำหน้าที่เป็นชั้นป้องกันเหล็กจากออกซิเจน ความชื้น และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ทำให้เหล็กมีความทนทานต่อการเกิดสนิมมากขึ้น

2. อายุการใช้งานยาวนาน : เมื่อชุบสังกะสีแล้ว แผ่นเหล็กอุตสาหกรรมสามารถมีอายุการใช้งานมากกว่า 50 ปีในสภาพแวดล้อมปานกลาง และมากกว่า 20 ปีในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสน้ำอย่างรุนแรง

3. ไม่ต้องการการบำรุงรักษา : เมื่อเหล็กถูกชุบสังกะสีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาเพิ่มเติม



 

เหล็ก Galvanized Steel มีชื่อเรียกอื่นๆหรือไม่?  

 

                  เหล็กชุบกัลวาไนซ์ หรือ Galvanized Steel เป็นชื่อเรียกทั่วไปที่ใช้กันแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรม  เหล็ก Galvanized Steel มีชื่อเรียกหลายชื่อที่ใช้กันในวงการอุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้

 

เหล็กชุบสังกะสี หรือ เหล็กชุบซิงค์

                  ในภาษาไทย เหล็กชุบกัลวาไนซ์ หรือ Galvanized Steel มักถูกเรียกว่า “เหล็กชุบสังกะสี” หรือ “เหล็กชุบซิงค์” ชื่อเรียกนี้บ่งบอกถึงกระบวนการเคลือบผิวเหล็กด้วยสังกะสี เป็นการเรียกแบบตรงๆตัว

 

เหล็กเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า หรือ เหล็กซิงค์ฟ้า (Electro-Galvanized Steel) 

                  เหล็กเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า “เหล็กซิงค์ฟ้า” (Electro-Galvanized Steel) เป็นชื่อเรียกเฉพาะสำหรับเหล็กที่ผ่านกระบวนการเคลือบสังกะสีด้วยกระแสไฟฟ้า กระบวนการนี้ทำให้ได้ชั้นสังกะสีที่บางและเรียบเนียน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความสวยงามและความละเอียด เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 

ตอบคำถาม “Galvanized steel” และ “เหล็กชุบซิงค์” ต่างกันอย่างไร? 

 

                  ไม่ว่าจะเรียกว่า “Galvanized Steel”, “เหล็กชุบสังกะสี” หรือ “เหล็กชุบซิงค์” ก็ล้วนหมายถึงเหล็กที่ผ่านกระบวนการเคลือบผิวด้วยสังกะสีเพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อน เพียงแต่อาจใช้วิธีการเรียกที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วเหล็กที่เคลือบด้วยสังกะสีล้วนแล้วจะเป็น Galvanized Steel จะมีเพียงแต่การเคลือบสังกะสี ซึ่งเป็นการเคลือบด้วยไฟฟ้า จะเรียกว่าเหล็กซิงค์ฟ้า เพียงเท่านั้น



 

บทสรุป

 

                  เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Galvanized Steel และ เหล็กชุบซิงค์ กันแล้ว การทำความเข้าใจในชื่อเรียกแต่ละแบบ จะช่วยให้เราทุกคน สามารถเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสมกับงานของตนเอง ไม่เข้าใจผิด และมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ถูกต้อง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร, ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์, ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม, หรือฝ่ายจัดซื้อ เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ทุกท่านสามารถตัดสินใจเลือกใช้วัสดุได้อย่างถูกต้อง เราขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ และหวังว่าจะได้พบกันใหม่ในบทความถัดไป ที่จะนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน